การเป็นเกย์และกระเทยส่วนหนึ่งมาจาก
อิทธิพลของฮอร์โมนเพศตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา นอกนั้นคือสิ่งแวดล้อม
สังคมและการเลี้ยงดูในครอบครัว
เพศที่ 3 กับสังคม
คนทั่วไปส่วนใหญ่ยังมีความสับสนเรื่องผู้ชายด้วยกันหรือผู้ชายที่มี
กิริยามารยาทคล้ายกับผู้หญิงนอกจากคนในสังคมจะสับสนและไม่เข้าใจแล้ว
ยังมองบุคคลเหล่านี้ไปในทางลบ
ทั้งนี้ จะต้องทำความเข้าใจก่อนว่าผู้ชายมีหลักๆ
3 กลุ่มคือ
1.
กลุ่มผู้ชายที่รักผู้หญิง
(เพศตรงข้าม-ต่างเพศ) ซึ่งสังคมทั่วไปยอมรับ
2.
กลุ่มผู้ชายที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชาย
แค่รักผู้ชายด้วยกัน (เพศเดียวกัน-ร่วมเพศ) ซึ่งมักนิยามตัวเองว่า เกย์ (gay)
มาจากรากศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลวา สดใส ร่าเริง
3.
ผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิง
หรือเป็นผู้หญิงที่อยู่ในร่างของผู้ชายนั่นเอง คำไทยมักใช้ว่า “กะเทย” (transgender หรือ transsexual)
การที่ผู้ชายมีความรักเพศเดียวกัน
มีสาแหตุหลายอย่าง ทั้งปัจจัยทางชีววิทยา และจิตวิทยา
เริ่มตั้งแต่สาเหตุทางพันธุกรรม
การพัฒนาของสมองเด็กในครรภ์ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ตลอดจนการอบรมเลี้ยงดู
และประสบการณ์การเรียนรู้หลังจากที่เกิดมาแล้วซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้
เกิดจากการเลียนแบบ และไม่ติดต่อกัน
ทั้งเกย์และกระเทย จะเริ่มรู้สึกว่าตนเองต่างจากเพื่อเพศเดียวกัน
ตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ
หรือเมื่อเริ่มจำความได้ โดยจะจดจำว่าพ่อแม่ตักเตือนอยู่เสมอว่าอย่าทำตัวเป็นผู้หญิง
ซึ่งอาจจะสร้างความรู้สึกกดดันภายในจิตใจ
ด้านพฤติกรรมจะมีความรู้สึกอ่อนไหว ร้องไห้ง่าย
กิริยามารยาทคล้ายเด็กหญิง ชอบแต่งตัว ชอบเล่นกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง
ไม่ชอบเล่นรุนแรง เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะมีความรู้สึกทางเพศเดียวกัน
แตกต่างจากเพื่อนผู้ชายทั่วไป
เนื่องจากเด็กรับรู้ว่าสังคมทั่วไปมีความรู้สึกรังเกียจเกย์และกระเทย
เด็กจึงสับสนไม่แน่ใจ ในการวางตัวในสังคม ความเครียด
และพยายามบิดปังความรู้สึกของตนเอง บางคนพยายามป้องกันตนเอง
โดยพยายามทำตัวเป็นชายชาตรี เช่น พยายามมีคนรักเป็นผู้หญิงหลายๆ คน
เพาะกายให้ดูเป็น “แมน”
แสดงตนก้าวร้าว ดื่มเหล้า สูบบุหรี่
มีเด็กบางคนก็พยายามหาสิ่งทดแทนความด้อย เช่น พยายามขยัน ตั้งใจเรียน
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อน ซึ่งเป็นการทดแทนที่ดีถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองและครูไม่เข้าใจ
เด็กจะยิ่งมีความทุกข์ทรมานใจมากขึ้น บางคนมาปรึกษาแพทย์เพื่อขอฉีดฮอร์โมนเพศชาย
โดยหวังว่าฮอร์โมนเพศชายจะช่วยเปลี่ยนความรู้สึกและความต้องการในใจ
แต่ความเป็นจริงฮอร์โมนเหล่านี้ไม่ได้มีผลดังที่หวังเลย
ระยะสับสนกังวลนี้อาจจะกินเวลานานมากหรือน้อย
แล้วแต่ตัวเด็กแต่ละคน เมื่อผ่านระยะนี้ไปเด็กจะเริ่มยอมรับความรู้สึกและความต้องการทางเพศของตน
เองมากขึ้น ความเครียด ความวิตกกังวลจะลดลง
ในขั้นต่อไปอาจพัฒนาถึงขั้นเปิดเผยตนเองต่อสังคม
และสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี
สังคมไทยยอมรับเกย์และกระเทยมากขึ้นกว่าในหลายประเทศ
แต่คนบางกลุ่มก็ยังรู้สึกในแง่ลบกับเกย์และกะเทย
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะภาพเกย์และกะเทยที่ออกมาตามสื่อต่างๆ
ทั้งหนังสือพิมพ์ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ แสดงเป็นตัวตลกบ้าๆ บอๆ
มีอารมณ์รุนแรงโหดเหี้ยม
ซึ่งความจริงที่ปรากฏก็คือเกย์และกะเทยที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นคนดี
ทำประโยชน์ให้สังคมก็มีอยู่มาก
ชีวิตชายรักชาย
ผลจากการศึกษากลุ่มชายรักชาย 100 คน ซึ่งเป็นเกย์ 95 คน เป็นกะเทย 5 คน พบว่า 40 คน
ทำงานเป็นลูกจ้างในสำนักงาน รองลงมาคือ ธุรกิจส่วนตัว สถานเสริมความงาม ร้านอาหาร
ร้องเพลง ครูเต้นรำ นาฏศิลป์ และพิธีกร ตามลำดับ
ในจำนวนนี้ 61 คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้ชาย
และจำนวน 34 คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้หญิง
ผู้เข้ารับการสำรวจยังบอกว่ามีประสบการณ์ทางเพศหรือมีความสัมพันธ์ทางเพศ
ส่วนใหญ่เนื่องจากความรัก หรือความต้องการทางเพศ และอีก 5 คนยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์
ด้านชีวิตการแต่งงานพบว่า 88 คน ยังเป็นโสดหรือมีคู่เป็นชาย
และอีก 12 คน เคยแต่งงานกับหญิง
ในจำนวนทั้งหมดนี้ 4 คน หย่ากับภรรยาแล้วเพราะ “เข้ากันไม่ได้”
อีก 2 คน หย่ากับภรรยาทั้งที่ครอบครัวมีความสุขพอควร
แต่ยอมเสียสละให้ภรรยาได้มีโอกาสมีสามีที่เป็นชายเต็มตัว
อีก 1 คน กำลังจะหย่ากับภรรยา
เพราะพบแฟนเป็นชายที่ให้ความสุขได้มากกว่าภรรยา
ส่วนอีก 5 คน ยังอยู่กับภรรยาและครอบครัวอย่างมีความสุข
จากการสำรวจพบข้อสังเกตว่าโอกาสล้มเหลวของเกย์แต่งงานกับผู้หญิงมี
ค่อนข้างมาก แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจช่วยให้ชีวิตแต่งงานประสบความสำเร็จ
คือรสนิยมทางเพศต้องเอียงไปทางชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
หรือแต่งงานกันด้วยความรักและความเข้าใจ มีความซื่อสัตย์มั่นคงไม่นอกใจภรรยา
มีความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว รวมทั้งภรรยามีความเข้าใจยอมรับ
และให้อภัยด้วย
เรื่องความเสี่ยงต่อโรคเอดส์ พบว่ามี 69 คนที่ตรวจเลือดหาโรคเอดส์
มีผลการตรวจเป็นบวก (ติดเชื้อเอชไอวี-เอดส์) 5 ราย
หรือร้อยละ 7.6 ซึ่งนับว่าสูงกว่าประชากรทั่วไป
สำหรับเรื่องของการป้องกันหรือการดูแลสุขภาพร่างกายหลังจากติดเชื้อเอดส์
แล้วทางหน่วยงานที่มีส่วนในการรับผิดชอบควรมีมาตรการช่วยเหลือให้มากขึ้น
เพศที่ 3 กับการแปลงเพศ
สำหรับชายใจหญิงหรือกะเทยหลายคนที่มีความต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองให้เหมือนผู้หญิงให้มากที่สุดนั่นคือเลือกผ่าตัดแปลงเพศ
ประเทศไทยมีศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญผ่าตัดแปลงเพศและเป็นที่ยอมรับกันทั่ว
โลกหลายท่าน นอกจากคนไทยที่ขอเข้ารับการผ่าตัดปลงเพศแล้วยังมีจากประเทศอื่นๆ เช่น
แคนาดา สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สวีเดน บราซิล
การผ่าตัดแปลงเพศต้องผ่านขั้นตอนและกฎเกณฑ์ต่างๆ
หลายอย่าง เพราะเมื่อทำการผ่าตัดเปลี่ยนเป็นเพศหญิงแล้วจะเปลี่ยนกลับมาเป็นเพศชายที่
สมบูรณ์อีกไม่ได้ง่ายๆ โดยผู้เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศจะต้องมีอายุ 30-65 ปี ผ่านการทดสอบโดยจิตแพทย์
หรือนักจิตวิทยา ผ่านการตรวจจากแพทย์ทางต่อมไร้ท่อ
การให้คำปรึกษาความพร้อมทางด้านจิตใจ เป็นต้น
แพทย์ไทยที่ทำงานด้านนี้ต้องใช้ความประณีตมากเนื่องจากเป็นทั้งงานผ่าตัด
และงานศิลปะ
ในการเปลี่ยนอวัยวะเพศชายให้เป็นหญิงและร่วมเพศได้เช่นเดียวกับหญิงทั่วไป
ผู้ที่ขอเข้ารับการผ่าตัดส่วนหนึ่งไม่ได้มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับเรื่องความ
สุขทางเพศ แต่มีจุดมุ่งหมายอยากจะเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์ หลายคนยืนยันชัดเจนว่า
ความปรารถนาสูงสุดคือ อยากตายในสภาพที่เป็นหญิง
สำหรับผู้ชายไทยหรือกลุ่มคนเอเชียจะมีรูปหน้าไม่ต่างกับผู้หญิงมากนัก
จึงไม่ต้องทำการผ่าตัดแปลงรูหน้าให้มากนัก
แต่ถ้าเป็นฝรั่งหรือคนต่างชาติรูปหน้าดั้งเดิมจะมีความแตกต่างจากผู้หญิง
จึงต้องมีการผ่าตัดแปลงรูปหน้าให้เป็นผู้หญิงด้วย (facial feminization)
ปัจจุบันการผ่าตัดแปลงเพศได้พัฒนาไปอย่างมากซึ่งอาการแทรกซ้อนขณะที่ผ่า
ตัดและหลังผ่าตัดมีน้อยมาก
แต่หลังการผ่าตัดไปแล้วทุกคนยังต้องติดต่อกับแพทย์และให้ฮอร์โมนเสริมหลัง การผ่าตัดด้วย
สังคมไทยเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก
เกย์และกะเทยหลายคนได้สร้างชื่อเสียงให้กับครอบครัว และประเทศเราเป็นอย่างมาก
แนวทางการดำเนินชีวิตก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป
และหวังว่าสังคมไทยจะเข้าใจเกย์และกะเทยมากขึ้น
และควรมีที่ให้กับบุคคลเหล่านี้ได้อยู่ในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกับ
คนทั่วไป
ที่มา:http://www.ppat.or.th/th/article/understand_third_gender



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น